อนุบาล
อนุบาล
ค้นหาดีดี (กรอกเพียงช่องเดียวก็หาได้)
กรอกชื่อโรงเรียน

เลือกประเภท

ค้นหาจากถนน

ค้นหาจากจังหวัด



หากพบความไม่สมบูรณ์ของเว็บ
หรือ เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม คลาดเคลื่อน
หรือ ความไม่สะดวกใดๆ กรุณาแจ้ง Webmaster เพื่อจะได้ปรับปรุงต่อไป (คลิกที่ link ด้านล่างนี้)
กรอกข้อเสนะแนะ...
กินแก้ซน
 
เชื่อหรือไม่ว่าเด็กที่ซนเป็นลิง เด็กที่อยู่ไม่สุข อยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ เด็กดื้อที่ไม่ฟังผู้ใหญ่ เด็กที่เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือกระทั่งเด็กที่ถูกวินิจฉัยว่าสมาธิสั้น ต้องกินยาลดระดับความซุกซนนั้น สามารถแก้ได้ ...เพียงแค่การปรับเปลี่ยนอาหาร ไม่นานมานี้ ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวีจัด ทัวร์เด็ก ซึ่งเป็นกิจกรรมค่ายสำหรับเด็กที่เชียงใหม่ มีจุดประสงค์คือ หัดให้เด็กกินผัก สอนให้รู้จักอาหารขยะ แล้วเลี่ยงเสีย สอนให้เด็กใกล้ชิดธรรมชาติ ออกกำลังกายกลางแจ้ง และออกไปสัมผัสชนบท กิจกรรมครั้งนี้ มีเด็กซนพิเศษ และเด็กสมาธิสั้น 2-3 คนไปกับเราด้วย มีอยู่คนหนึ่ง ชื่อดช.เอ๋ เอ๋ต้องกินยาระงับความอยู่ไม่สุข โดยกินยาทุกเช้าเพื่อให้อยู่นิ่ง ๆ เพื่อจะได้นั่งอยู่กับที่เรียนหนังสือกับเพื่อน ๆ ได้จนหมดชั่วโมง วันไหนเอ๋ไม่ได้กินยาวันนั้นเอ๋จะวิ่งทั้งวัน ทำอะไรก็จับจดแบบสมาธิสั้น ซนเป็นลิงว่างั้นเถอะ แต่ถึงจะกินยาก็ไม่วายออกอาการซนกว่าเด็กคนอื่นเขา กติกาของทัวร์เด็กมีอยู่ว่า ต้องกินผัก กินข้าวกล้อง ไม่มีขนมขยะกิน ไม่มีน้ำอัดลมดื่ม อาหารว่างจะเป็นผลไม้สดและขนมพื้นบ้านเช่นขนมกล้วย ขนมตาล (ไม่ใส่สี) กินน้ำผลไม้ ไม่ดื่มนมวัว แต่กินนมถั่วเหลืองที่ใส่น้ำตาลนิดเดียวแทน เอ๋อยู่ในค่ายได้เพียงวันเดียว อาการซนก็ลดลง แทนที่จะวิ่งวุ่นก็สามารถนั่งนิ่ง ๆ ทนฟังนิทานได้เป็นชั่วโมง หมออ้อมที่คุมเด็ก ๆ อยู่ก็เลยทำใจกล้า งดยาของเอ๋เสีย ปรากฏว่าความซนของเอ๋ก็ไม่ได้แตกต่างจากเด็กอื่นทีนี้ เผอิญวันหนึ่งทางรีสอร์ตที่เด็กพักอยู่ ทำน้ำส้มให้เด็กกินตอนเช้าแล้วใส่น้ำตาลทรายลงไปด้วย (ซึ่งนอกเหนือจากที่ทัวร์เด็กต้องการ) เอ๋กลับมาซนมากขึ้นกว่าเดิมอยู่สักครึ่งวัน แล้วก็สงบลงได้โดยไม่ต้องกินยา ตรงนี้ทำให้เรารู้ว่าเอ๋ไวต่อน้ำตาลที่เราเรียกว่า พลังงานเปล่า มากมาก และทำให้ซนจัดเป็นพิเศษ ทำให้เรียนหนังสือไม่ได้ ทำให้ต้องกินยาลดความซน ฯลฯ
ทำไม น้ำตาลทำให้ซนได้ คำตอบคือ เวลาร่างกายจะใช้น้ำตาล แม้กระทั่งน้ำตาลกลูโคสก็ตาม ร่างกายจะต้องการวิตามินบีไปช่วยเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นพลังงาน ในเมื่อน้ำตาลทรายไม่มีวิตามินบี ร่างกายจึงต้องไปแย่งเอาวิตามินบีมาจากสมอง ทำให้สมองทำงานไร้ระบบ ยิ่งกินหวานมากร่างกายก็ยิ่งขาดวิตามินบีมาก ทำให้เอ๋ควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงเกิดพฤติกรรมซนสุดสุด เช่นเดียวกับที่โบราณเอาน้ำตาลทรายป้อนหมาแล้วทำให้มันดุขึ้น ยังไงยังงั้นเลยแหละ
ดังนั้นอาหารที่จะทำให้เด็กหายซนจะต้องเป็นดังนี้คือ
★ 1. อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต จะต้องเป็นอาหารที่ไม่ขัดขาว จะต้องเป็นแบบเชิงซ้อนที่มีวิตามินบีพร้อม ได้แก่ข้าวกล้องซึ่งต้องเอาแทนข้าวขาว ใช้ความหวานจากผลไม้แทนน้ำตาลทรายและขนมหวาน ซึ่งสองอย่างหลังนี่ต้องงดเสี
★ 2. อาหารขยะต้องงดโดยเด็ดขาด เช่นขนมกรุบกรอบทั้งหลาย น้ำอัดลม น้ำหวาน นมที่ใส่น้ำตาลจนหวานจัด น้ำผลไม้(แบบปลอมๆ)ที่ใส่น้ำตาล ช็อคโกแล็ต ลูกอม ฯลฯ เหล่านี้ต้องงดให้หมด ถ้าอยากให้เด็กกินของว่าง ผลไม้ไทย ๆ นั่นแหละเหมาะ หรือน้ำคั้นจากผลไม้สด ไม่ใส่น้ำตาลดีที่สุด ซึ่งอาจจะต้องคั้นเองจึงจะไว้ใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
★ 3. ควรเลิกผงชูรสเสียด้วย เพราะผงชูรสคือเกลือโซเดียมดี ๆ นี่เอง ถ้าเด็กตัวเล็กนิดเดียวกินเข้าไป เกลือมันจะอุ้มน้ำทำให้น้ำคั่งในร่างกาย เป็นผลเสียต่อการทำงานของอวัยวะทั้งระบบของร่างกาย เผอิญผงชูรสเป็นเกลือที่ไม่เค็ม มันออกหวานมากกว่าจึงทำให้คนกินเข้าไปไม่รู้สึกว่ากินเกลือ อนึ่งอาหารขยะที่เด็กชอบกินล้วนใส่ผงชูรสทั้งนั้น ยิ่งกินมากยิ่งไม่ระวังก็จะยิ่งได้ผงชูรสเข้าไปล้นเกิน ทำให้ร่างกายเสียสมดุลและ เด็กจะซนมากกว่าเดิมข้อเสียของผงชูรสอีกอย่างหนึ่งคือ ทำให้เด็กไม่กินผักเพราะรสชาติตามธรรมชาติของผักมันจืดกว่า ถ้าปลายประสาทในปากของเด็กชินกับการถูกกระตุ้นด้วยสารเคมีแบบผงชูรส เด็กมักจะไม่ยอมกินผักและผลไม้
★ 4. ควรควบคุมปริมาณไขมันที่เด็กบริโภคด้วย อย่าให้กินตามใจปาก อะไรที่ทั้งหวานทั้งมันยิ่งแย่ใหญ่ อาหารที่เด็ก ๆ นิยม เช่นพิซซ่า ขนมเค้ก ช็อคโกแล็ต นมหวาน ๆ อาหารและขนมที่ทำจากกะทิต้องงด เพราะเวลากินเข้าไปจะเป็นไขมันประเภทไตรกลีเซอไรด์ ที่ไม่สามารถเข้ากันกับน้ำเลือด การที่เลือดมีไตรกลีเซอไรด์สูง ๆ จะทำให้เลือดหนืดไหลลำบาก เลือดก็จะไปเลี้ยงสมองได้ลำบาก เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ของเด็ก
มีงานวิจัยจากนครนิวยอร์กที่พยายามลดอาหารขยะในอาหารกลางวันของเด็ก 803 โรงเรียน โดยเอาอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเข้าไปแทนที่ ปรากฏว่าเด็กมีผลการเรียนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือในปีแรกที่งดอาหารขยะ 1 อย่าง จากผลการเรียนก่อนปรับเปลี่ยนอาหารของเด็กที่ได้เพียง 39 % เพิ่มเป็น 47 % เมื่อเอาอาหารขยะออกอีก 1 อย่างผลการเรียนของเด็กก็เพิ่มขึ้นอีกเป็น 51 % ปีต่อจากนั้นทางโรงเรียนไม่ได้เอาอาหารขยะออกอีก ปรากฏว่าเด็กไม่ได้เรียนดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้เรียนตกลงไป แต่ก็น่าแปลกใจที่ปีถัดมา เมื่อเอาอาหารขยะออกไปอีก 1 อย่าง ปรากฏว่าผลการเรียนของเด็กเพิ่มขึ้นอีกเป็น55%
แสดงว่า ยิ่งเด็กกินอาหารขยะน้อยลงเท่าใด และกินอาหารที่มีคุณค่ามากเท่าใด ผลการเรียนของเด็กก็ยิ่งดีขึ้นตามลำดับ สำหรับเด็กไทยผลการเรียนคงไม่ดีนักหรอก เพราะไอคิวเฉลี่ยของเด็กบ้านเรา ตามตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุขเท่ากับ 88.8 เท่านั้น นี่น่าจะเป็นเพราะคนไทยบริโภคน้ำตาลกันมาก ถึงวันละ 83 กรัม หรือเกือบขีดหนึ่งแน่ะ ตอน นี้โรงเรียนก็เปิดเทอมแล้ว ถ้าผู้ปกครองคนไหนอยากให้ลูกหลานของตัวเองเรียนดีขึ้นก็เพียงแต่ปรับเปลี่ยน อาหารดังที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้นเอง แล้วต้องคอยสู้กับเด็กสักหน่อย ตะล่อมให้เขาค่อย ๆ กินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าการกินตามใจปาก หรือตามโฆษณาในโทรทัศน์ เด็กก็จะหายซน เด็กจะมีสมาธิดีขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น พูดกันรู้เรื่องมากขึ้นและแน่นอนผลการเรียนของเขาก็จะดีขึ้นด้วย
โดย พญ.ลลิตา ธีระสิริ ที่มา : http://www.balavi.com/content_th/nanasara/Con00161.asp